วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

โปรดิวเซอร์

ทีวีโปรดิวเซอร์ อาชีพที่ไม่มีสอนในหลักสูตร
เวลานั่งดูรายการโทรทัศน์ แล้วรู้สึกว่ารายการนี้สนุก หรือเป็นรายการที่ดี คุณชื่นชมใคร? ถ้านึกไม่ออก จะบอกให้ว่า คนที่คุณสมควรปรบมือ ให้มากที่สุด ก็คือ คนที่ถูกเรียกว่า "โปรดิวเซอร์"






ทั้งนี้ เพราะรายการโทรทัศน์ ทุกรายการ ต้องผ่านการกลั่นกรอง ออกมาจากมันสมองของ "โปรดิวเซอร์" ล้วนๆ
"โปรดิวเซอร์" คือ คนที่ทำให้รายการที่คุณดูอยู่นั้นเกิดขึ้นมาได้ นอกจากนี้ โปรดิวเซอร์ยังต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องการจัดการ การเงิน สร้างสรรค์ เรียกว่า งานของโปรดิวเซอร์นั้น มีตั้งแต่สากกะเบือ ยันเรือรบเลยทีเดียว
โปรดิวเซอร์ถือเป็นตำแหน่ง ที่มีหน้าที่รับผิดชอบพอสมควร เพราะการผลิต รายการรายการหนึ่งความรับผิดชอบทั้งหมดจะต้องตกอยู่กับโปรดิวเซอร์ (ถ้าไม่นับบรรณาธิการและเจ้าของสถานี) โปรดิวเซอร์ต้องควบคุมทีมงานทั้งหมด และมีหน้าที่ตัดสินใจว่าจะทำอะไร และไม่ทำอะไร
ฟังดูก็น่าจะ "หมูๆ" แต่เอาเข้าจริงงานโปรดิวเซอร์ "หิน" มากทีเดียว เพราะในการทำรายการโทรทัศน์มีถึง 4 ขั้นตอนที่สำคัญ เริ่มจาก

    "Pre Production" คือ การสำรวจและหาข้อมูล
    "Production" คือ การถ่ายทำ
    "Post Production" คือ การนำสิ่งที่ถ่ายทำมาตัดต่อเข้าเป็นหนึ่งตอน และสุดท้าย คือ
    "Preview" คือ การนั่งดูซ้ำทั้งหมดในฐานะคนดูคนหนึ่ง
เมื่อมีถึง 4 ขั้นตอน ทีมงานจึงแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ คิดงานของตัวเท่านั้น แต่ผู้ที่มีหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ จะต้องคิดภาพรวมทั้งหมด คิดทุกเรื่อง ดูทุกส่วน นอกจากนี้ ยังต้องจัดสรรเรื่องเวลา และการบริหาร ทั้งการเงินและบุคคล ดังนั้น หากไม่รู้จักการวางแผนที่ดีก็มีสิทธิ "หลุด" ได้เช่นกัน
แต่ละขั้นตอนของการทำงานจะต้องอาศัยความพิถีพิถันอย่างมาก เนื่องจากรายการโทรทัศน์สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ชม จึงมีกรรมการตัดสิน คุณภาพผลงานเป็นแสน ความกดดันที่โปรดิวเซอร์ต้องเผชิญ ทำให้งานต้องผ่านการกลั่นกรองแล้วเป็นอย่างดี
หลักการทำงานของโปรดิวเซอร์ คือ ต้องเลือกเสนอประเด็นที่สนใจที่สุด ประกอบกับรูปแบบในการนำเสนอให้ชวนติดตาม ก่อนจะทำรายการสักตอน โปรดิวเซอร์ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเมื่อผู้ชมดูแล้วเขาได้อะไร เราจะเสนออะไร และจะทำอย่างไรให้คนดูๆ จนจบรายการ คำว่าเนื้อหา คือ ทุกอย่างทั้ง ภาพ เพลง บท เนื้อหา โทรทัศน์จะต่างจากหนังสือพิมพ์ก็ตรงที่ต้องมองทุกอย่าง
โปรดิวเซอร์แต่ละรายการจะประสบปัญหาแต่ละประเภทแตกต่างกันออกไป หากเป็นรายการสารคดีที่เน้นทางด้านเนื้อหาเป็นสำคัญ ความยากของงานก็มาจากเนื้อหาของรายการที่ต้องละเอียดมากกว่ารายการวาไรตี้ที่เอาคนมานั่งคุยกันทั่วๆ ไป แต่ปัญหาสำคัญที่โปรดิวเซอร์รายการบันเทิงพบเสมอ ได้แก่ ปัญหาจากตัวลูกค้าและเอเยนซี เพราะรูปแบบรายการที่สามารถสอดแทรกสินค้าและผลิตภัณฑ์ลงไปได้ง่าย ลูกค้าบางคนจึงต้องการโปรโมทสินค้าของตัวเองซึ่ง บางครั้งมันก็ออกนอกหน้ามากเกินไปหน่อย
คนที่เป็นนายจ้างของโปรดิวเซอร์ ได้แก่ สื่อต่างๆ โปรดักชั่นเฮาส์ ค่ายเพลงที่มีรายการ ภาพยนตร์ วิทยุ และทุกธุรกิจที่เกี่ยวกับวิทยุโทรทัศน์
ส่วนเวลาทำงานก็ไม่มีการกำหนดแน่นอน เนื่องจากโปรดิวเซอร์ต้องลงทั้งแรงและไอเดีย ส่วนรายได้ก็พออยู่ได้ แต่อาจจะต่ำไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับคนที่อยู่ใน สายงานโฆษณา
มีข้อสังเกตว่า โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ของต่างประเทศ จะต้องมีอายุ 30 ปีขึ้นไป ในขณะที่โปรดิวเซอร์ไทยมีอายุเฉลี่ยไม่ถึง 30 ซึ่งหากดูจากเนื้องานแล้ว โปรดิวเซอร์ควรจะเป็นผู้ที่มีคุณวุฒิและประสบการณ์มากพอสมควร โดยเฉพาะโปรดิวเซอร์ที่ทำงานกับโปรดักชั่น เฮาส์ต่างๆ ที่ต้องติดต่อและวางแผนงานร่วมกับเอเยนซี หรือฝ่ายโฆษณาด้วยตัวเอง จึงต้องสามารถนั่งคุย กับฝ่ายบริหารระดับสูงได้ดี
นอกจากนี้ โปรดิวเซอร์ที่ทำงาน กับโปรดักชั่นเฮาส์ ยังต้องทำสัญญ าซื้อเวลากับสถานีต่างๆ เองได้อีกด้วย ซึ่งการนำรายการไปขาย ก็ต้องพิจารณานโยบายของ แต่ละสถานีให้ดีเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็อาจเสียเวลาเปล่า เช่น ถ้ารายการที่เป็นสารคดีจ๋า ประเภทเนื้อหาแน่นเอี๊ยด ก็น่าจะเหมาะกับช่อง 9 มากกว่า แต่ถ้าเป็นรายการบันเทิง ก็รีบเอาไปเสนอช่อง 3 หรือ 7 ได้เลย
ทั้งๆ ที่ประสบการณ์ และชั่วโมงบินเป็นสิ่งสำคัญ แต่น่าเสียดายที่โปรดิวเซอร์บางคน อาจไม่คิดจะยึดอาชีพนี้ ไปตลอดชีวิต ในขณะที่ต่างประเทศ จะให้ความสำคัญ กับคนที่มีประสบการณ์มาก และสามารถยึดเป็นอาชีพ ได้โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องวัย

โดยเฉพาะในรายการที่มีคุณภาพ เช่น รายการ 60 minutes ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเวลายิ่งเนิ่นนานยิ่งเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง โปรดิวเซอร์บางคน ก็ขึ้นแป้นเป็นผู้บริหารได้ และถ้าเป็นสถานีโทรทัศน์ก็อาจก้าวไปเป็น Executive Producer ได้ คือ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาโปรดิวเซอร์รุ่นน้องต่อไป
วิชาชีพโปรดิวเซอร์จริงๆ ไม่มีสอนในหลักสูตร แม้ในคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งถือเป็นสายตรงที่สุด ที่ถือว่าตรงสายที่สุด ก็จะสอนแต่เรื่องทฤษฎีโดยรวม และวิธีเขียนบท วิธีตัดต่อ หรือจรรยาบรรณ ของสื่อมวลชน แต่ไม่เคยลงลึกไปว่า การเป็นโปรดิวเซอร์ เขาทำอะไรกัน ความรู้ต่างๆ จึงล้วนเกิดจากการเรียนรู้ จากประสบการณ์ ในการทำงานจริงทั้งสิ้น

ที่มา:http://www.nationejobs.com/content/worklife/careertalk/template.php?conno=105

1. คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
   1.1 วุฒิการศึกษา    ปวส.  ขึ้นไป
   1.2 สัญชาติ ไทย   เชื้อชาติ  ไทย    ศาสนา   ไม่กำหนด
   1.3 บุคลิกภาพ   ดี
   1.4 ความสามารถพิเศษ   ถ้ามี
2. ประสบการณ์ในการทำงาน    1ปี
3. ลักษณะงาน   ควบคุมและผลิต
4. สภาพการจ้างงาน    เงินเดือน 
5. สวัสดิการในการทำงาน    ที่พัก  ประกัน  เงินโบนัส 
6. ความก้าวหน้าในอาชีพ     เป็นผู้กำกับในอนาคตได้
                                   


 หลักฐานในการสมัครงานเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างยิ่งใน การสมัครงาน ซึ่งเอกสาร ที่คุณควรจัดเตรียมไว้มีดังนี้ 

1. ประวัติส่วนตัว (Resume) 
2. รูปถ่าย ควรเป็นรูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 หรือ 2 นิ้ว โดยเป็นรูปสีหรือขาวดำก็ได้ แต่ขอให้เป็น การแต่งกาย ที่สุภาพ 
3. สำเนาใบรับรองการศึกษา ได้แก่ Transcipt และสำเนา ใบปริญญาบัตร 
4. สำเนาบัตรประชาชน 
5. สำเนาทะเบียนบ้าน 
6. สำเนาหลักฐานการพ้นภาระทางการทหาร 
7. สำเนาหนังสือรับรองการผ่านงานหรือการฝึกงาน (ถ้ามี) 
ปล. เอกสารเหล่านี้ควรเตรียมถ่ายสำเนาไว้หลายๆ ชุด และที่สำคัญอย่าลืม เซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง








ค้าขายของใช้พลาสติก


ขายส่งสินค้าในราคาถูกภายใต้แนวคิดทุกชิ้นราคาเดียว  พร้อมทั้งเป็นแหล่งขายส่งสินค้ากว่า 5,000 รายการ และมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเปิดสาขาขายสินค้าในรูปแบบของขายปลีกตามโมเดิร์นเทรดอย่าง บิ๊กซี โลตัส โดยมีจุดขายคือ ขายสินค้าในราคาเดียวคือ 10 บาท และ 20 บาท แต่เมื่อธุรกิจในส่วนของค้าปลีกมีการเติบโตมากขึ้น ประกอบกับต้องดูแลกิจการในส่วนของค่าส่งให้แก่นักลงทุนควบคู่ไปด้วย ทำให้ไม่มีเวลาในการบริหารจัดการมากนัก 

สำหรับผู้นักลงทุนที่สนใจจะเปิดร้านภายในโมเดิร์นเทรดอย่างบิ๊กซี และโลตัว ที่อยู่แถวบ้าน ก็สามารถติดต่อมาทางคุณเนญาวงศ์ให้ช่วยเหลือแนะนำได้

ส่วนคนที่กำลังมองหาแหล่งขายส่งสินค้าราคาถูกก็สามารถติดต่อ และดูสินค้าได้ที่บริษัทฯ โดยปัจจุบันสินค้าของหนึ่งนทีมีสินค้าขายส่งกว่า 5,000 ชนิด โดยสินค้าทุกชิ้นมีคุณภาพสมกับราคา โดยมีการจัดกลุ่มสินค้าทั้งหมดออกเป็น 3 หมวดใหญ่และ 5 หมวดย่อยคือ


• ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเซรามิค-แก้ว อาทิ ถ้วย ชาม แก้วน้ำ แก้วไวน์ ฯลฯ

• ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติก (เมลามีน) อาทิ ถาด ถ้วย ชาม ตระกร้า ฯลฯ


• สินค้าเบ็ดเตล็ด อาทิ 
   -เครื่องมือช่าง
   -เครื่องเขียน
   -เครื่องใช้ในครัวเรือน
   -กิ๊ฟช็อป
   -
ของเล่นเด็ก อาทิ ตุ๊กตา, รถยนต์, สมุด – หนังสือการ์ตูน    



1. คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
   1.1 วุฒิการศึกษา    -
   1.2 สัญชาติ ไทย   เชื้อชาติ  ไทย    ศาสนา   ไม่กำหนด
   1.3 บุคลิกภาพ   ดี
   1.4 ความสามารถพิเศษ   ถ้ามี
2. ประสบการณ์ในการทำงาน    -
3. ลักษณะงาน   ซื้อมาขายไป
4. สภาพการจ้างงาน    เงินรายวัน
5. สวัสดิการในการทำงาน    ที่พัก  ประกัน  เงินโบนัส 
6. ความก้าวหน้าในอาชีพ     เป็นผู้ขายส่งรายใหญ่ในอนาคต




 หลักฐานในการสมัครงานเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างยิ่งใน การสมัครงาน ซึ่งเอกสาร ที่คุณควรจัดเตรียมไว้มีดังนี้ 


1. ประวัติส่วนตัว (Resume) 
2. รูปถ่าย ควรเป็นรูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 หรือ 2 นิ้ว โดยเป็นรูปสีหรือขาวดำก็ได้ แต่ขอให้เป็น การแต่งกาย ที่สุภาพ 
3. สำเนาใบรับรองการศึกษา ได้แก่ Transcipt และสำเนา ใบปริญญาบัตร 
4. สำเนาบัตรประชาชน 
5. สำเนาทะเบียนบ้าน 
6. สำเนาหลักฐานการพ้นภาระทางการทหาร 
7. สำเนาหนังสือรับรองการผ่านงานหรือการฝึกงาน (ถ้ามี) 
ปล. เอกสารเหล่านี้ควรเตรียมถ่ายสำเนาไว้หลายๆ ชุด และที่สำคัญอย่าลืม เซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง 


ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์


ทำหน้าที่ติดตั้ง ซ่อมแซม และดูแลให้คอมพิวเตอร์อยู่ในสภาพดีสามารถทำงานได้ตลอดเวลา มีตำแหน่งที่สำคัญดังนี้

ช่างคอมพิวเตอร์ประจำหน่วยงาน

            งานในตำแหน่งนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เพราะค่าใช้จ่ายสูงนอกจากเงินเดือนของช่างแล้ว ยังต้องมีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีราคาแพง พบตำแหน่งนี้ในสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยหรือบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น

ช่างคอมพิวเตอร์ประจำบริษัทผู้ขายคอมพิวเตอร์

            ตำแหน่งนี้ บางทีเรียกว่า "วิศวกรลูกค้า" (Customer Engineer) มีหน้าที่ออกไปให้บริการบำรุง รักษาและซ่อมแซมเครื่องในศูนย์คอมพิวเตอร์ของลูกค้าหรือถ้าเป็นไมโครคอมพิวเตอร์หรือเครื่องพีซีอาจจะให้ลูกค้านำเครื่องที่ขัดข้อง
มาส่งที่ศูนย์บริการแล้วจึงซ่อมให้

ช่างคอมพิวเตอร์ประจำบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์

            ทำหน้าที่ศึกษาออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์และวงจรคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ บริษัทลักษณะนี้มีทั้ง
บริษัทขนาดใหญ่และบริษัทขนาดเล็กผู้ที่เป็นช่างทั้ง 3 รูปแบบดังกล่าวต้องมีพื้นฐานทางด้านอิเล็กทรอนิกส์อาจจบการศึกษาระดับ ปวช.
 หรือ ปวส. หรืออาจได้รับการฝึกอบรมตามลักษณะของงานที่ทำ เช่น ถ้าเป็นงานซ่อมบำรุงขนาดใหญ่จะต้องเรียนรู้โครงสร้างและ
การทำงาน
ของเครื่องนั้นอยางละเอียด ต้องอ่านวงจรเป็นโดยไม่ต้องรู้เรื่องภาษาก็ได้
แต่ถ้าเป็นงานซ่อมบำรุงเครื่องพีซีซึ่งไม่ซับซ้อนเท่าเครื่องใหญ่ ช่างคอมพิวเตอร์ควรมีความรู้เรื่องภาษาซี หรือภาษาสัญลักษณ์ด้วย

            กลุ่มที่สูงกว่าช่างคอมพิวเตอร์ คือ กลุ่มนายช่างหรือวิศวกรคอมพิวเตอร์ ต้องมีพื้นฐานปริญญาตรีด้านวิศวกรรม
อิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือวิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสาร วิศวกรรมเหล่านี้ทำงานด้านการออกแบบและจัดคอมพิวเตอร์
ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า ออกแบบวิธีการต่อพ่วง
อุปกรณ์ต่างๆ และออกแบบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์


1. ตรวจสอบอาการเสียของเครื่องจากเสียง Beep Code      ทุก ๆ ครั้งที่คุณเปิดใช้งานเครื่องครั้งแรก ก็จะได้ยินเสียง ปี๊ป ดังสั้น ๆ 1 ครั้ง แล้วเครื่องก็จะทำงานต่อตามปกติ แต่ถ้าเมื่อไรที่คุณได้ยินสียงมากกว่า 1 ครั้ง หรือมีเสียงดังยาว ๆ จากนั้นเครื่องก็หยุดนิ่ง ก็ทำใจไว้ได้เลยว่าเครื่องของคุณมีปัญหาแล้ว เมื่อคุณเจออาการแบบนี้ให้รีบปิดเครื่องทันที เพราะตราบใดที่เครื่องยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะไม่สามารถใช้งานเครื่องได้จนกว่าจะแก้ปัญหาเสียก่อน เสียงปี๊ปที่เราได้ยินนี้จะถูกเรียกว่า Beep Code ซึ่งจะมีจำนวนครั้งไม่เท่ากัน และมีเสียงดังสั้นบ้างยาวบ้าง ลักษณะของเสียงที่แตกต่างกันนี้เองที่บอกเราว่า อุปกรณ์ชิ้นไหนมีปัญหา ดังนั้นถ้าเจอปัญหาลักษณะนี้ก็ต้องลองฟังให้ดีว่า ดังกี่ครั้ง สั้นยาวแบบไหน แล้วนำไปเทียบดูในตารางไบอสตามยี่ห้อของไบออส เพื่อจะรุ้ว่าอะไรคือต้นเหตุ แล้วจะได้หาทงแก้ไขต่อไป 
2. ตรวจสอบอาการเสียของเครื่องโดยดูจากข้อความที่แจ้งบนหน้าจอ      การแจ้งปัญหาหรือความผิดปกติที่เครื่องตรวจพบด้วยข้อความบนหน้าจอ ซึ่งเราเรียกว่า Message Error นับป็นการแจ้งปัญหาอีกแบบหนึ่งที่มีประโยชน์ เพราะเราสามรถรู้ปัญหาได้ทันทีว่าอปกรณ์ตัวไหนทำงานผิดปกติ หรือไม่ก็รู้ว่าการทำงานส่วนใดมีปัญหา ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางในการแก้ปัญหาที่ง่ายขึ่น ตัวอย่างของข้อความที่ปรากฎให้เห็นบนหน้าจอบ่อย ๆ อย่างเช่น CMOS checksum ErrorCMOS BATTERY State LowHDD Controller Failure
3. ตรวจสอบอาการเสียโดยดูจากความผิดปกติของเครื่องที่สามารถสังเกตุ     วิธีนี้คงต้องใช้ทักษะ ความรู้ และความชำนาญมากกว่า 2 แบบแรก เพราะจะเป็นอาการที่เครื่องไม่ได้มีอะไรแจ้งให้เราทราบเลยว่าอุปกรณ์ชิ้นไหนมีปัญหาหรือเสียหาย มีแต่ความผิดปกติที่เราสามารถสังเกตุได้ทางกายภาพ อย่างเช่น เปิดสวิตซ์แล้วไฟไม่ติด , เสียบปลั๊กแล้วเครื่องก็เปิดทันที , เปิดใช้เครื่องได้ไม่ถึง 5 นาที ระบบก็ล่ม เป็นต้น จะเห็นว่าอาการดังกล่าวนี้เครื่องไม่ได้แจ้งอะไรให้เราทราบเลยนอกจากอาการผิดปกติที่เรารับรู้ได้ ดังนั้นในการแก้ปัญหาในลักษณะนี้จึงจะต้องอาศัยผู้ที่มีประสบการณ์หรือช่างผู้ชำนาญ จึงจะสามารถวิเคราะห์ตรวบสอบ และทำการซ่อมแซมแก้ปัญหาได้ 
4. ตรวจสอบอาการเสียที่เราสามารถระบุอุปกรณ์ได้เลย     ปัญหาแบบนี้จะเป็นกับอุปกรณ์ที่เราใช้อยุ่เป็นประจำแต่ถ้าอยุ่ ๆ ไม่สามารถทำงาน หรือทำงานได้ไม่ดี เราก็รู้ได้ทันทีว่าอะไรเสีย อย่างเช่น ไดรว์ซีดีรอมไม่ทำงาน ภาพบนจอสั่นหรือกระพริบ ไดรว์ A ไม่ยอมอ่านแผ่น เป็นต้น จะเห็นว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากความผิดปกติของอุปกรณ์ชิ้นนั้น ๆ โดยตรง การตรวจสอบหรือตรวจเช็คจึงทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยากเหมือน 3 แบบที่ผ่านมา 
5. ตรวจสอบอาการเสียที่เกิดจากการอัพเกรดอุปกรณ์ ไปจนถึงการปรับแต่งเครื่อง


 หลักฐานในการสมัครงานเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างยิ่งใน การสมัครงาน ซึ่งเอกสาร ที่คุณควรจัดเตรียมไว้มีดังนี้ 

1. ประวัติส่วนตัว (Resume) 
2. รูปถ่าย ควรเป็นรูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 หรือ 2 นิ้ว โดยเป็นรูปสีหรือขาวดำก็ได้ แต่ขอให้เป็น การแต่งกาย ที่สุภาพ 
3. สำเนาใบรับรองการศึกษา ได้แก่ Transcipt และสำเนา ใบปริญญาบัตร 
4. สำเนาบัตรประชาชน 
5. สำเนาทะเบียนบ้าน 
6. สำเนาหลักฐานการพ้นภาระทางการทหาร 
7. สำเนาหนังสือรับรองการผ่านงานหรือการฝึกงาน (ถ้ามี) 
ปล. เอกสารเหล่านี้ควรเตรียมถ่ายสำเนาไว้หลายๆ ชุด และที่สำคัญอย่าลืม เซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง  

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อาชีพช่างภาพ อาชีพอิสระสำหรับคนรักการถ่ายภาพ

เนื่องจากในยุคปัจจุบันภาพถ่าย นับเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่องานในแต่ละประเภท ที่มีความแตกต่างกันออกไป เช่น งานนิตยสาร งานแฟชั่น งานหนังสือ งานมงคล ท่องเที่ยว เว็บไซต์ ฯลฯ หรือแม้แต่กระทั้งตอนที่เราสมัครงานยังจำเป็นต้องใช้รูปถ่ายเลย จะเห็นได้เลยว่าอาชีพช่างถ่ายภาพ มีงานรองรับให้ทำอยู่มากมาย
บางท่านบอกมาว่าการถ่ายภาพใครๆ ก็สามารถถ่ายภาพได้ เพียงซื้อกล้องมาในราคาหลักพันไปจนถึงหลักหมื่นบาท สามารถถ่ายภาพให้สวยได้ อันที่จริงมันก็จริงนะค่ะ แต่ทว่าท่านมีความชำนาญเกี่ยวกับอุปกรณ์ถ่ายภาพ การจัดองค์ประกอบภาพ และมีความคิดสร้างสรรค์หรือไม่ ตรงนี้คือสิ่งสำคัญมาก ไม่ใช้ว่าใครๆ ก็จะสามารถทำได้

ลักษณะของอาชีพช่างภาพ

ช่างภาพมืออาชีพคือ ผู้รู้ผู้ชำนาญเกี่ยวกับอุปกรณ์ถ่ายภาพ การจัดวางองค์ประกอบภาพ อาชีพช่างภาพนี้มีลักษณะเกี่ยวกับการใช้กล้อง ดังนี้
  • ถ่ายภาพ
  • จัดองค์ประกอบภาพ
  • คิดรูปแบบการถ่ายภาพกับลักษณะของงาน
  • อื่น ๆ

คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพช่างภาพ

คุณสมบัติช่างภาพสิ่งแรกที่ควรมีต้องมีใจรักในการถ่ายภาพ ทุกสิ่งอย่างเริ่มต้นที่ใจเราก่อน ต่อมามีความคิดที่สร้างสรรค์รู้จักวางองค์ประกอบภาพก่อนถ่าย คุณสมบัติหลักจะมีดังนี้
  • มีใจรักในงานถ่ายภาพ และงานศิลปะ
  • มีความคิดสร้างสรรค์เป็นของตัวเอง
  • มีความสามารถในการใช้กล้องถ่ายภาพได้
  • มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบทางศิลปะ
  • มีความอดทน ใจเย็นเข้ากับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี

เงินลงทุนและผลตอบแทน

เงินทุนคือส่วนสำคัญ เพราะทุกสาขางานอาชีพต้องมีการลงทุนลงแรงสร้างกันทั้งนั้น ก่อนจะเข้าสู้วงการช่างภาพมืออาชีพ อุปกรณ์ถ่ายภาพแต่ละชิ้นที่นำมาถ่ายภาพค่อนข้างมีราคาที่สูงมาก แต่ทว่าการลงทุนเปรียบเสมือนกับน้ำที่ใช้รดต้นไม้ของเรา ให้เจริญเติบโตออกดอกผลิตผล ช่างภาพมืออาชีพลงทุนครั้งแรกประมาณหลักแสนต้นๆ ดังนี้
  • กล้องถ่ายภาพ ราคาเริ่มต้นที่ 25,000 บาท จนถึงหลักแสน อย่างน้อยๆ 1 ตัวขึ้นไป
  • เลนส์ (Lens) ครบทุกช่วงราคาเริ่มต้นที่ 4,500 – 100,000 บาทอย่างน้อย 3 ตัวขึ้นไป
  • ไฟแฟลช ไฟสตู ต่างๆ อย่างน้อยๆ 15,000 บาทขึ้นไป
  • อุปกรณ์ เล็กๆ น้อยๆ อีกมากมายกับราคาที่ค่อนข้างแพง
ที่มา :http://www.thaiarcheep.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.html


1. คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
   1.1 วุฒิการศึกษา    ปวส.  ขึ้นไป
   1.2 สัญชาติ ไทย   เชื้อชาติ  ไทย    ศาสนา   ไม่กำหนด
   1.3 บุคลิกภาพ   ดี
   1.4 ความสามารถพิเศษ   ถ้ามี
2. ประสบการณ์ในการทำงาน    1ปี
3. ลักษณะงาน   ถ่ายภาพทั่วไป
4. สภาพการจ้างงาน       งานเหมา 
5. สวัสดิการในการทำงาน    อาหารฟรี
6. ความก้าวหน้าในอาชีพ    ช่างภาพมืออาชีพได้ในอนาคต   เงินเดือน 15000ขึ้นไป

โปรแกรมเมอร์

ความแตกต่างระหว่างโปรแกรมเมอร์และนักวิเคราะห์ระบบโปรแกรมเมอร์ ( programmer ) หมายถึงบุคคลที่รับผิดชอบในด้านการเขียนโปรแกรม สิ่งที่เขาจะเชื่อมโยงนั้น ได้แก่ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติ ( Operating System :OS ) หรือแม้กระทั่งภาษาที่ใช้ในการเขียน เช่น COBOL, BASIC และ C++ งานของโปรแกรมเมอร์จะเป็นไปในลักษณะที่มีขอบเขตที่แน่นอนคือโปรแกรมที่เขาเขียนขึ้นนั้นถูกต้องตามจุดประสงค์หรือไม่ กิจกรรมงานของโปรแกรมจะเกี่ยวข้องกับคนจำนวนน้อย เช่น กับโปรแกรมเมอร์ด้วยกันเอง หรือกับนักวิเคราะห์ระบบที่เป็นผู้วางแนวทางของระบบให้แก่เขา

นักวิเคราะห์ระบบ หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า SA (SYSTEM ANALYSIS) นั้น นอกจากจะต้องรับผิดชอบต่อการโปรแกรมคอมพิวเตอร์แล้ว ยังจะต้องรับผิดชอบงานในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดหาอุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผู้ที่จะใช้ระบบแฟ้มหรือฐานข้อมูลต่างๆ รวมทั้งข้อมูลดิบที่จะป้อนเข้าระบบงานของนักวิเคราะห์ระบบไม่ได้อยู่ในลักษณะที่แน่นอนแบบโปรแกรมเมอร์ ไม่มีคำตอบที่แน่นอนจากระบบที่เขาวางไม่ว่าผิดหรือถูก งานของเขาเกิดจากการประนีประนอมและผสมผสานของปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบงาน คือ ผู้ใช้ วิธีการ เทคโนโลยี และอุปกรณ์จนได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมออกมาเป็นระบบงาน (APPLICATION SYSTEM) งานของนักวิเคราะห์ระบบจึงมักจะต้องเกี่ยวข้องกับคนหลายระดับ ตั้งแต่ลูกค้าหรือผู้ใช้ นักธุรกิจ โปรแกรมเมอร์ ผู้ตรวจสอบบัญชีหรือแม้กระทั่งเซลล์แมนที่ขายระบบงานข้อมูล


ที่มา :http://sasdkmitl09.blogspot.com/2009/06/sa-programmer-operating-system-os-cobol.html




1. คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
   1.1 วุฒิการศึกษา    ป.ตรี  ขึ้นไป
   1.2 สัญชาติ ไทย   เชื้อชาติ  ไทย    ศาสนา   ไม่กำหนด
   1.3 บุคลิกภาพ   ดี
   1.4 ความสามารถพิเศษ   ถ้ามี
2. ประสบการณ์ในการทำงาน    1ปี
3. ลักษณะงาน   ควบคุมและผลิตโปรแกรม
4. สภาพการจ้างงาน    เงินเดือน 
5. สวัสดิการในการทำงาน    ที่พัก  ประกัน  เงินโบนัส 
6. ความก้าวหน้าในอาชีพ     เป็นเจ้าของโปรแกรม หรือระบบได้





 หลักฐานในการสมัครงานเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างยิ่งใน การสมัครงาน ซึ่งเอกสาร ที่คุณควรจัดเตรียมไว้มีดังนี้ 

1. ประวัติส่วนตัว (Resume) 
2. รูปถ่าย ควรเป็นรูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 หรือ 2 นิ้ว โดยเป็นรูปสีหรือขาวดำก็ได้ แต่ขอให้เป็น การแต่งกาย ที่สุภาพ 
3. สำเนาใบรับรองการศึกษา ได้แก่ Transcipt และสำเนา ใบปริญญาบัตร 
4. สำเนาบัตรประชาชน 
5. สำเนาทะเบียนบ้าน 
6. สำเนาหลักฐานการพ้นภาระทางการทหาร 
7. สำเนาหนังสือรับรองการผ่านงานหรือการฝึกงาน (ถ้ามี) 
ปล. เอกสารเหล่านี้ควรเตรียมถ่ายสำเนาไว้หลายๆ ชุด และที่สำคัญอย่าลืม เซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง 

แด๊ก อดีตนักร้องนำบิ๊กแอส คัมแบ็ค จับไมค์ร้องเพลงอีกครั้ง

แด๊ก อดีตนักร้องนำบิ๊กแอส คัมแบ็ค จับไมค์ร้องเพลงอีกครั้ง





แด๊ก อดีตนักร้องนำบิ๊กแอส ซุ่มทำเพลงใหม่ ยืนยัน ขอคว้าไมค์ร้องเพลงให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึงกันอีกครั้ง

                หลังจาก แด๊ก อดีต นักร้องนำบิ๊กแอส หรือ แด๊ก เอกรัตน์ วงศ์ฉลาด ประกาศแขวนไมค์ หันหลังให้วงการเพลง ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2555 หลังจากหายหน้าหายตาไปพักใหญ่พร้อม ๆ กับกระแสข่าวต่าง ๆ

               ล่าสุด (23 เมษายน 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เร็ว ๆ นี้ แฟนเพลงที่เคยหลงรักเสียงแหบ ๆ สูง ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของ แด๊ก จะได้ฟินกับเพลงใหม่ของ แด๊ก อย่างแน่นอน เพราะเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 เฟซบุ๊ก ROCK RIDER ได้โพสต์ภาพของแด๊ก พร้อมข้อความว่า... 

               "กลับมา...เพื่อพวกคุณทุกคน 

               กลับมาเข้าห้องอัดครั้งนี้ขอบอกตามตรงว่าโคตรตื่นเต้นเลย เพราะว่าห่างหายจากการเข้าห้องอัดไปนานแสนนาน และไม่คิดว่าจะกลับเข้ามาอีกครั้ง 
    


               แต่พี่น้องที่พบเจอในระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตหรือบันทึกรายการ Rock Rider พวกคุณคือแรงใจสำคัญยิ่งนักที่ทำให้ผมเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง 

               ผมเองขอบคุณพี่ ๆ Silly Fools และน้อง ๆ Airborne ที่ร่วมกันเดินทางใน Rock Rider"






               และเมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก ROCK RIDER ยังได้อัพเดทข่าวคราวของ แด๊ก อีกครั้ง ด้วยโพสต์ภาพของแด๊ก กับสาว 2 คน และข้อความสั้น ๆ ว่า นี่เป็นนักแสดง ที่ร่วมถ่ายมิวสิควีดีโอเพลงใหม่ของพี่แด๊ก ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องติดตามกันนะครับ

               แหม ๆ พอเห็นแบบนี้ บรรดาแฟนคลับของ แด๊ก ก็คงได้เฮ และรอติดตามผลงานของเขากันอยู่แน่ ๆ

ที่มา :  http://musicstation.kapook.com/view86904.htm